เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาคนเกิดมา คนเกิดมาในโลกนี้กำลังไม่เท่ากัน กำลังของคนทั้งข้างนอก ทั้งกำลังกายและกำลังใจ สิ่งที่เป็นกำลัง เห็นไหม บางคนอ่อนแอทางร่างกายแต่หัวใจเข้มแข็งมาก บางคนร่างกายแข็งแรงแต่หัวใจอ่อนแอมาก สิ่งที่อ่อนแอ มันอ่อนแอเพราะว่ามันไม่มีความมั่นใจของมัน
ถ้ามีความมั่นใจ เห็นไหม เรามีสมาธิไง คนเราถ้ามีชีวิตยืนยาวนี่ ในทางธรรมบอกว่า เรารักษาศีล เราไม่ทำลายชีวิตคนอื่น ชีวิตเราก็จะยืนยาว เราทำความสงบของใจ เห็นไหม นี่ความมั่นใจจะเกิดจากมีความสงบของใจ ถ้าความมั่นใจที่สุดขึ้นมานี่คือความรู้ เพราะว่าถ้าเรามีความรู้ เรารู้สิ่งต่าง ๆ เราจะไม่เคอะไม่เขินสิ่งนั้น
ศีลก็เหมือนกัน ถ้าเรามีศีล เรามีความมั่นใจของเรา เราจะไม่เคอะเขิน แล้วถ้ามีสมาธิขึ้นมา เห็นไหม แล้วเราจะมีปัญญาของเรา ถ้าปัญญาของเรานี่ สรรพสิ่งโลกนี้เขารู้ต่าง ๆ นี่ เขารู้เรื่องภายนอก เรื่องปัญญาภายนอกสิ่งนั้นเป็นปัญญาภายนอก แล้วก็ลังเลสงสัยหนึ่ง ความลังเลสงสัยคือว่ามันจะจริงหรือไม่จริง เห็นไหม
แล้วถ้าวิชาการคนละแขนงนี่ มันก็จะต้องเถียงกันว่า สิ่งความเห็นของตัวเองอันใดถูกต้อง ความถูกต้องแล้วแต่มุมมอง มุมมองแต่ละคนมันก็มุมมองต่าง ๆ กัน แล้วแต่จริตนิสัยและมุมมองต่าง ๆ กันออกไปสภาวะแบบนั้น นั้นจะทำให้คนลังเลสงสัย เห็นไหม
แต่ถ้าเรารู้จบรู้รอบ ถ้ารู้รอบ รู้ความเห็นของเราจากภายในขึ้นมานี่ ความรู้จบอันนี้มันจบมันจะมีความมั่นใจของมันมาก ความมั่นใจไง สรรพสิ่งต่าง ๆ ความรู้ที่ไหนก็แล้วแต่ รู้ออกไปเถิด สิ่งนั้นทำให้เวียนตายเวียนเกิดไปในวัฏฏะ จะไม่ดับความลังเลสงสัยของใจนั้นได้
แต่ถ้าใครมาดับความลังเลสงสัย เห็นไหม นี่ความไม่รู้คืออวิชชา อวิชชาคือว่าถ้าทางโลกเขาคือว่านี่คืออวิชชา เห็นไหม เวลานักวิชาการเขาว่ากันน่ะ ถ้าเราไม่รู้เรื่องวิชาการ เป็นอวิชชาคือเราไม่รู้ ถ้าเรารู้เป็นความรู้จริง...ความรู้อันนั้นอวิชชาพารู้ต่างหาก อวิชชาคือความไม่รู้ตัวมันเอง สิ่งที่อวิชชาคือว่ามันรู้อยู่ รู้สภาวะรู้แต่ไม่รู้จักตัวมันเอง
ถ้ามันจะรู้จักตัวมันเอง มันเป็นวิชชานะ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สิ่งที่เห็นจากภายในเข้ามานี่มันจะรู้ตัวมันเอง ถ้ามันรู้ตัวมันเอง รู้สิ่งนี้ จบนะ อย่างอื่นนั้นเป็นเงา เป็นการเกิดดับของกระแสของโลกเขา กระแสของโลก โลกจากภายนอก การเกิดดับความเจริญรุ่งเรืองของโลกเขา กระแสของโลกนี่หมุนเวียนไป ประเทศชาติต่าง ๆ ประเทศที่เคยเจริญขึ้นมานี่มันก็เสื่อมไปธรรมดา มันหมุนเวียนไป โลกวัฏฏะเป็นอย่างนั้น
โลกจากโลกนอก เห็นไหม โลกนอกเป็นโลกนอก โลกในคือหมู่สัตว์ โลกในคือความข้องของใจ ใจของเราข้องสิ่งต่าง ๆ นี่ เป็นโลกภายใน โลกภายในยึดมั่นถือมั่น ภวาสวะเกิดตรงนี้ไง เกิดตรงจุดเริ่มต้น จุดของฐานความคิดเริ่มต้นจากตรงนี้ ถ้าตรงมีฐานของความคิดนี่ มันติดไปหมด
ถ้ามันติดสิ่งต่าง ๆ ไปหมด เห็นไหม การแสวงหาต่าง ๆ บริษัทห้างร้านต่าง ๆ หรือเจ้าของบริษัทนั้น เขาต้องแสวงหากำไรของเขา แสวงหาผลประโยชน์ของเขา เขาแสวงหา เห็นไหม จนบริษัทข้ามชาติน่ะโลกทั้งโลกจะแคบเกินไปในเรื่องการธุรกิจ สิ่งที่ธุรกิจนี่มันต้องแสวงหามากขนาดนั้น
นี่ตัณหาความทะยานอยากของใจดวงนั้น ถ้ามันต้องการแล้วนี่ มันคิดได้ตั้งแต่..อย่าว่าแต่โลกนี้เลย โลกจักรวาลมันก็คิดมันก็มั่นหมายไปเพื่อจะเอาเป็นผลประโยชน์ของมัน แต่ถ้าคนมีอำนาจวาสนา เหมือนกับมหาราชาสมัยโบราณน่ะ เขาปกครองโลกๆ เขาต้องการยึดโลกทั้งโลกเป็นของเขา ความคิดของเขาเขาคิดไปขนาดนั้น แต่มันเป็นไปได้ไหม? มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน ถ้าคนมีอำนาจวาสนา เห็นไหม
ดูอย่างเกิดเป็นพระอินทร์ เกิดเป็นเทวดาขึ้นมานี่ เขาต้องสร้างอำนาจขึ้นมาอะไร เหตุที่จะเกิดเป็นพระอินทร์? เขาต้องสร้างถนนหนทาง เขาสร้างศาลา เขาสร้างสิ่งสาธารณประโยชน์ สิ่งที่สาธารณประโยชน์เขาสร้างเพื่อใคร? เขาสร้างเพื่อสาธารณชน สิ่งที่สาธารณชนใช้ของเขา นี่เขาถึงเป็นผู้นำไง นี่ปัญญามันเกิดอย่างนี้ไง ลักษณะของคนเป็นผู้นำ สิ่งที่เป็นผู้นำเป็นหัวหน้า เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย ถ้าโคมันฉลาด มันจะนำฝูงของโคขึ้นฝั่งได้
นี่ก็เหมือนกัน มนุษย์ที่ฉลาด มนุษย์ที่เข้าใจความเห็นของตัวเองจากภายใน ถ้าเข้าใจความเห็นของตัวเองจากภายใน มันเข้าใจสิ่งนั้นหมด แล้วมันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์มาก เราว่านะ ปัญญาของเรานี่ เราคิดทางวิทยาศาสตร์ ถ้าเราใคร่ครวญไป ปัญญาเรากว้างขวางออกไป นั้นมันเป็นจุดเดียว เห็นไหม วิชาการใด หรือเราคิดวิทยาศาสตร์แขนงใด มันเป็นจุดเดียวเท่านั้น
แต่ความรู้ของใจนี่มันเวิ้งว้างมหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นมากกว่านั้นมาก เพราะอะไร? เพราะมันพลิกแพลงไง สิ่งที่พลิกแพลง เห็นไหม เวลามันส่งออกไปข้างนอกนี่มันยึดหมดเลย รูป รส กลิ่น เสียงต่าง ๆ เป็นเครื่องอยู่อาศัยของมัน มันจะยึดสิ่งนั้น แล้วความเห็นของมันจะยึดสิ่งนั้น มันเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมนะ เหมือนความกังวลใจ ความเครียดความกังวลใจนี่มันเป็นเรื่องเล็กน้อยนะ แต่ทำไมเราปล่อยวางไม่ได้?
แต่ถ้าเมื่อใดเราปล่อยวางสิ่งนี้ได้ มันจะมองเห็นว่าเป็นของเล็กน้อยมาก แต่เวลามันยึดสิ นี่ความยึดมั่นถือมั่นนี้มันมีกำลังมาก มันมีอำนาจมาก สิ่งที่มีอำนาจน่ะมันควบคุมใจดวงนี้ แล้วมันคิดไปตามความเห็นของมัน แล้วเวลาจะทวนกระแสเข้าไป จะทำความสงบของใจย้อนกระแสกลับเข้ามานี่ เพื่อจะให้มันมีกำลังขึ้นมาไง นี่จะเข้มแข็งจะอ่อนแอ อ่อนแอตรงนี้
ถ้าเราไม่มีสัจจะนะ เวลาเราตั้งสัจจะขึ้นมานี่ เวลานั่งตลอดรุ่งขึ้นมานี่ เราตั้งสัจจะ พระทำขนาดนั้น แต่เราไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก เราตั้งสัจจะว่าเราจะถือศีลของเรานี่ ศีลอันนี้ต้องให้บริสุทธิ์ ถ้ามันจะต้องการสิ่งใด ต้องการตามความปรารถนาของมันในรูป รส กลิ่น เสียง เราจะฝืนมัน เราฝืนตัวเราเองนี่เท่ากับฝืนกิเลส
แต่ทางโลกเขาไม่คิดอย่างนั้น เขาคิดว่าถ้าเราได้สิ่งใด เราได้ปรนเปรอสิ่งใด เราได้เสพสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นความสุข เห็นไหม ความสุขอันนั้นมันทำให้คน ถ้าคนนิสัยดี คนที่เข้าใจโลกมันก็เป็นเครื่องอยู่อาศัยไปได้ ก็เท่านั้นเอง แต่ถ้าคนไม่มีหลักนะ มันติดสิ่งนั้นไป แล้วมันต้องการสิ่งนั้น มันต้องการสิ่งที่มากเกินไป ๆ จนเป็นคนเสียจริตคนเสียนิสัยไปได้ สิ่งนั้นมันเป็นไป
แต่ถ้าเราฝืนของเรานี่ เราฝืนของเราขึ้นมา เราอิ่มธรรมไง ถ้าเราไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรม เรามีหลักของเราขึ้นมานี่ เราจะมีความภูมิใจมาก ความภูมิใจคือเรามีศีลธรรม ศีลธรรมนี้เป็นเครื่องอยู่ของใจ เห็นไหม จริตนิสัย เครื่องอยู่อาศัยนี่มันดัดแปลงเข้ามาได้ ถ้าเรามีศีลมีธรรม เราจะควบคุมตัวเอง แล้วเราจะพัฒนาตัวของเราเองขึ้นไปนี่ มันจะเริ่มมั่นคงขึ้นมา จะเริ่มเข้มแข็งขึ้นมา
ถ้าใจเข้มแข็งขึ้นมานี่ มันจะตั้งสัจจะได้ ศรัทธาความเชื่อ สิ่งที่เราเชื่อสิ่งใด ความเชื่อของเรานี่ ถ้าเรามีความเชื่อเราก็ค้นคว้าหาสิ่งนั้น ถ้าเราเชื่อเรื่องกรรม เรื่องการกระทำ เราจะทำแต่คุณงามความดี ถ้าคุณงามความดี ความดีของเรา เห็นไหม ถ้ากิเลสมันไม่เข้าใจก็คุณงามความดีของเรา มีมากพ่อแม่บอกว่าต้องการให้ลูกประกอบความสำเร็จทางอาชีวะทางอาชีพต่าง ๆ นี่ พ่อแม่จะเป็นห่วงอย่างนั้นมาก สิ่งที่ห่วงอย่างนั้นเพราะความยืนอยู่ในกระแสสังคมไง
แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ความยืนอยู่ของใจ ถ้าใจทำสัมมาสมาธิได้ ความเห็นของใจ นี่อำนาจวาสนามันอยู่ตรงนี้ไง อยู่คนที่สร้างสมมา ถ้าคนสร้างสมมามันจะมีความเชื่อจากภายนอก ความเชื่อจากภายนอกเข้ามาก่อน แล้วเราแสวงหาเข้ามา
พอเราเกิดขึ้นมานี่ เกิดขึ้นมาเป็นปัจจัตตังที่จิตเข้าไปสัมผัสความสงบของใจ มันมีหลักของใจนี่มันเป็นอจลศรัทธา เห็นไหม ความเชื่ออันนี้ไม่คลอนแคลน ความเชื่ออันนี้เกิดขึ้นมาจากเรา เราฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ เราอ่านหนังสือขึ้นมานี่ เราก็เพื่อจะแสวงหาหลักความจริง ถ้าแสวงหาหลักความจริงแล้วเราจะเดินเข้าไปหาความจริงสิ่งนั้น
สิ่งนี้มันเป็นความเชื่อ ความเชื่อกับความจริงเป็นคนละส่วนกัน ความจริงคือจริง คือว่าจิตมันสัมผัส ถ้าเราทำความสงบของใจจิตมันสัมผัส ความเชื่ออันนี้เป็นอจลศรัทธา สิ่งที่เป็นอจลศรัทธานี่มันเป็นของเราขึ้นมา นี่สมาธิธรรม รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง สิ่งนี้มันสัมผัสที่ใจ ใจได้สัมผัสขึ้นมาแล้วนี่ รสของใจมันมีอยู่แล้ว มันจะไปเชื่อใครล่ะ เพราะใจมันสัมผัสเอง ใจมันรู้เอง
สิ่งที่รู้เองนี่ สิ่งนี้ถ้ามันยืนของมันขึ้นมาได้นี่ แล้วมันจะฟังใคร นี่ความมั่นใจของตัวเอง สิ่งนี้มั่นใจ มันก็มีกำลังใจขึ้นมา แล้วมันก็จะพยายามค้นคว้าเข้าไป ค้นคว้าเข้าไป ยกขึ้นวิปัสสนาได้มันจะเป็นเรื่องของปัญญา ปัญญาในหลักของศาสนาเกิดจากตรงนี้ เกิดจากภายใน เป็นวิปัสสนาญาณ ถ้าวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นมานี่มันจะเป็นภายใน
ถ้าไม่มีการปฏิบัติ พูดไปเถิด เราก็ฟังทุกวันนะ ฟังว่าญาณอย่างนี้จะเกิดขึ้นมา ๆ แล้วเวลาปัญญาทางโลกทำไมเราปฏิเสธ...ไม่ได้ปฏิเสธทั้งหมด มันเป็นเรื่องเริ่มต้นจากตรงนั้น สิ่งที่ตรงนั้นน่ะ ถ้าเรามีจริตนิสัยเราเตือนตนเองได้ มันจะเริ่มเตือนตนเอง แล้วมันจะเริ่มปล่อยวางเข้ามา มันเริ่มเตือนตัวเองว่าสิ่งนี้มันเป็นสมบัติของเรา มันเป็นปัญญาเป็นเชาวน์ของเรา
ถ้าเชาวน์ของเรานี่รู้ทันสิ่งนั้น ถ้าเรารู้ทันคนมาก เราพยายามศึกษาคนมาก เราจะทุกข์มาก เราจะเป็นไปมาก เราจะทำไมเป็นแบบนั้น แต่นี่เพราะสิ่งที่เป็นเชาวน์ปัญญาเกิดจากไหน? เกิดจากใจของเรา ถ้าเรามารู้เท่าใจของเรา เรามาแก้ที่ใจของเรา มันจะย้อนกลับเข้ามา เชาวน์ปัญญาอันนั้นถ้ามันสะกิดใจ ถ้ามันเตือนตนเองขึ้นมานี่ มันจะปล่อยวางสิ่งนั้น
ถ้าเชาวน์ปัญญาอันนี้ไม่เกิดขึ้น มันก็จะคิดว่ามันรู้ทันเขา มันจะเป็นศักยภาพของตัวมันเอง มันจะเก่ง มันจะมีอำนาจเหนือคนอื่น มันคิดไปสภาวะแบบนั้น นี่เรื่องของโลกเป็นแบบนั้น ถ้าพลิกมาเป็นธรรมก็เป็นปัญญาโลกเหมือนกัน แต่เข้าใจแล้วเป็นสิ่งที่สะเทือนใจ แล้วสะกิดใจ ย้อนกลับทวนกระแสเข้ามา
สิ่งที่ทวนกระแสเข้ามานี่มันย้อนกลับเข้ามามันถึงจะเกิดปัญญาภายใน ปัญญาภายในนี่ความมหัศจรรย์เกิดจากปัญญาภายในที่ว่าในหลักของศาสนานี่ พระพุทธเจ้ารู้อันนี้ไง ปัญญาอันนี้มันพลิกแพลงเข้ามาไง นี่พอจิตมันสงบมันตั้งมั่น เราทำความมั่นใจของเราขึ้นมาแล้วนี่ ความมั่นใจของเรา คนจะพูดขนาดไหน ว่าเราประพฤติปฏิบัติเราจะเสียเวลา เราประกอบสัมมาอาชีวะนี่เราจะมีเวลา
ทุกคนต้องตายหมด เวลาของคนมีแค่ลมหายใจแล้วดำรงชีวิตอยู่เท่านั้น ถึงเวลาตายแล้วมีค่าเท่ากัน จะมีฐานะขนาดไหน จะทุกข์จนข้นแค้นขนาดไหน ทุกคนต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตายทั้งหมด นี่ชีวิตนี้ถึงมีโอกาสไง สมบัติภายนอกเป็นสมบัติเป็นข้าวของเงินทองที่เราแสวงหา อริยทรัพย์ ว่าเป็นอริยทรัพย์ ๆ ภายในนี่มันมีคุณค่ามากกว่านั้นไง
สมบัติภายนอก เห็นไหม ถ้าเรามีหลักทรัพย์ เราก็กู้ยืม เราก็ยืมเขามาได้ แต่อริยทรัพย์นี่กู้ยืมกันไม่ได้ มีแต่ว่าจากการศึกษาของเรานี่ แล้วเราพยายามทำของเราเข้ามา สิ่งนี้ซื้อหากันไม่ได้ แล้วเวลากำลังของทรัพย์ เห็นไหม กำลังของร่างกายนี่เวลาเราเห็นว่า ทำไมคนเป็นอย่างนั้น ทำไมคนนี้จะเป็นอย่างนี้ ทำไมเราไม่เป็นอย่างนั้น
นี่เพราะอันนี้ไง เพราะสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาไง เพราะเวลาเราบอกอริยทรัพย์ขึ้นมานี่ ทุกคนเบนหน้าหนีเลย อริยทรัพย์เป็นนามธรรม เราจับต้องไม่ได้ แล้วเราค้นคว้าอย่างไร เราทำอย่างไร เราหาสมบัติของเรานี่ เราจับต้องได้ เรามีความสุข...มันสุขไม่จริงหรอก เหมือนกับอำนาจนี่ เราต้องการอำนาจ เราต้องการมีอำนาจเหนือคนอื่น แต่พอเราไปมีอำนาจเหนือคนอื่นสิ มันเกิดความระแวง มันเกิดความแข็งข้อของเขาขึ้นมาได้ มันไม่มีความสุขหรอก แต่กิเลสมันคิดว่าจะเป็นความสุขของมัน
แต่เวลาเกิดอริยทรัพย์นี่ว่ามันเป็นนามธรรม มันจะมีความสุขได้อย่างไร ไม่ต้องการนะ แต่เวลามันเกิดขึ้นมาจากภายใน เห็นไหม มันเป็นอกุปปธรรม ฟังสิ อกุปปธรรมคือสิ่งที่ไม่เสื่อมสภาพ ใจของเรานี่เรรวนและแปรสภาพตลอด แล้วมันเปลี่ยนสภาพไปตลอด เห็นไหม สภาวะการเกิดการตาย การเกิดการตายของใจนี่เกิดดับตลอด
เวลาคิดขึ้นมาเรื่องคุณงามความดี เรื่องมีความสุขขึ้นมานี่ เกิดขึ้นมาแล้ว เวลามันเกิดเรื่องทุกข์ขึ้นมา เห็นไหม นี่เกิดดับตลอด แล้วความเป็นอกุปปะ คือสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาไม่ได้ เรารู้ทันสภาวะสิ่งนี้ทั้งหมด เวลาเกิดดับขึ้นมานี่ พอมันสะเทือนใจขึ้นมา มันจะบอก นั่นแน่ อะไรจะมาแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นแล้ว นี่มันทันสภาวะแบบนั้นทั้งหมดเป็นอกุปปธรรม นี่อริยทรัพย์อย่างนี้ นี่ความสุขอันนั้นคงที่ไง สิ่งที่คงที่กับโลกนี้ที่ไม่คงที่นั้นแปรสภาพตลอดไป เราสร้างสมขึ้นมาเพื่อสภาวะสิ่งนี้
นี้ในหลักของพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนถึงที่สุดของทุกข์ได้ เวลาเราสร้างบุญกุศลขึ้นมานี่ก็เพื่อกำลังของเรา ถ้าเราสร้างบุญกุศล เห็นไหม เกิดเป็นจักรพรรดิ เกิดเป็นกษัตริย์ เป็นไปได้ พลิกนี่ การเกิดขึ้นมานี่ เวลาจิตปฏิสนธิเกิดในครรภ์ของมารดา เห็นไหม เกิดกับคนทุกข์เข็ญใจก็เป็นลูกของคนทุกข์เข็ญใจ ไปเกิดในครรภ์ของกษัตริย์ เราก็เป็นลูกของกษัตริย์แน่นอน แต่จิตดวงที่จะไปเกิดได้ขนาดไหนน่ะมันต้องอยู่ที่บุญกุศลที่เราสร้างสมขึ้นมา
นี่เราถึงสร้างสมขึ้นมา เราสร้างของเราเป็นของเรา แล้วกำลังจะเกิดขึ้นมากับเรา จะอ่อนแอจะเข้มแข็งขนาดไหน เราก็สร้างของเราขึ้นมา กำลังของเราเป็นของเรา อริยสัจนี้เป็นความจริง เวลาเราทำบุญเข้าไปนี่ เราทำบุญอริยสัจ สัจจะความจริงอันนี้ให้ผลกับเรา ศาสนา เห็นไหม สัจธรรมคือคำสั่งสอน คือธรรมชาติ คือความจริงอันหนึ่ง แล้วเราทำความจริงกับอันนั้น
สิ่งที่ว่าเป็นโลก เห็นไหม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกานี้เป็นเหมือนกับวงจรที่มันหมุนเวียนไป การสละออกมานี่มันหมุนไปในวงจรนั้น วงจรของวัฏฏะ วงจรของโลกมันหมุนเวียนไป เราได้สละ เราได้ทำขึ้นมาในวงจรนั้น สัจจะอันนั้นน่ะ สัจจะอันนั้นให้ผลกับเรา จิตนี้มันถึงพัฒนาขึ้นไป จิตนี้มันถึงมีกำลังขึ้นมา เห็นไหม
นี่เวลากำลังความคิด บางคนคิดไม่ออก บางคนมันฉลาด ฉลาดมาก ถ้าฉลาดเป็นธรรมมันก็เป็นประโยชน์ไป ถ้าฉลาดเป็นโลกไปมันก็ฉลาดเป็นโลกตลอดไป แล้วถ้าฉลาดเป็นกิเลสมันยิ่งร้ายกาจเข้าไปใหญ่เลย เพราะความคิดของคนนี่มันจะหาผลประโยชน์ของมันโดยที่ว่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนมหาศาลเลย แล้วมีศีลธรรมประกอบเข้ามา ศีลธรรมเข้ามาทำให้ใจดวงนี้ขึ้นมา นี่พัฒนาขึ้นมาให้มันมีความฉลาด ความบารมีธรรมของใจกับบารมีธรรมของร่างกาย อันนี้มันพัฒนาขึ้นไป แล้วเราจะผ่านพ้นจากโลกนี้ไปได้ เอวัง